โรคหูหนวก

            การหูหนวก คือการที่เราไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย อาจจะมีอาการไม่ได้ยินแค่เพียงข้างเดียวหรืออาจะเป็นกับหูทั้งสองข้างก็ได้

ซึ่งอาการหูหนวกนี้อาจเป็นมาตั้งแต่เกิดหรือเพิ่มเริ่มมาเป็นหลังจากคลอดออกมากแล้ว หรือบางคนหูหนวกเมื่อมีอายุมากขึ้นเพราะความเสื่อมสภาพของของภายในหู  หรืออาจได้รับการประสบอุบัติเหตุที่มีผลกระทบไปยังหู ส่วนใหญ่คนที่เป็นโรคหูหนวกหลังคลอดหรือตอนที่อายุมากแล้ว จะไม่ค่อยรู้ตัวว่าเป็นโรคนี้

เพราะอาการจะไม่ออกทันที มันจะค่อยๆแสดงอาการออกมาโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น กลุ่มคนที่ต้องทำงานกับสถานที่ที่มีเสียงดังมาก กลุ่มคนเหล่านี้จะค่อยๆมีอาการคือ เมื่อมีใครมาพูดด้วยจะได้ยินเสียงเบา ต้องให้ตะโกนคุยดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะหูจะชินที่ได้ยินเสียงดังๆ

          สำหรับอาการของคนที่เป็นโรคหูหนวกนั้นสามารถสังเกตได้เบื้องต้นคือ 

มักจะมีอาการหูอื้อและมักได้ยินเสียงเหมือนมีแมลงมาบินในหู บางครั้งมีลักษณะของหูแว่วได้ยินเสียงเพราะหาที่มาของเสียงไม่เจอ เวลาคุยกับคนอื่นมักจะไม่ค่อยได้ยินที่คนอื่นพูด ต้องคอยให้เขาพูดซ้ำๆเสียงดังๆจึงจะได้ยิน จะสังเกตได้ง่ายขึ้นเวลาที่ผู้ป่วยหูหนวกดูทีวีจะมีการเปิดเสียงดังมาก สำหรับคนที่เป็นโรคหูหนวกนั้น มักจะเกิดจากที่เสียงไม่สามารถทะลุทะลวงจากข้างนอกเข้าไปยังหูด้านในได้ ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจาก มีขี้หูเยอะมาขวางในรูหู หรือมีน้ำขังในหู หูมีการติดเชื้อจนแก้วหูทะลุ จากการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่นไข้หวัด โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือเป็นโรคหินปูนเกาะที่กระดูกหู

ทำให้ขวางกันได้ยินของหูและยังมีอีกหลาสาเหตุมากมายที่จะทำให้เกิดหูหนวกขึ้นได้ และหากเราต้องการทราบว่าเราเป็นโรคหูหนวกหรือไม่ ต้องไปพบแพทย์ เพื่อตรวจอาการโดยแพทย์จะมีการซักประวัติ มีการทดสอบการได้ยินและมีการส่องกล้องเพื่อตรวจสอบสภาพข้างในหูว่ามีอาการอักเสบหรือปัญหาอะไรหรือไม่ หากมีก็อาจจะต้องใช้ เครื่องช่วยฟัง อีกด้วย

 เมื่อผลการทดสอบออกมาแล้วแพทย์จะมีการประมาณว่าผู้ป่วยเป็นโรคหูหนวกระดับไหน เช่น หูตึกนิดหน่อย  ตึงปานกลาง หรือหูตึงอย่างรุนแรง หรือว่าจะกลายเป็นโรคหูหนวกเลย ซึ่งวิธีการรักษาก็จะแตกต่างกันไป

           สำหรับการป้องกันไม่ให้เกิดโรคหูหนวกนั้น คือทำให้ร่างกายแข็งแรงเพราะโรคหูตึงสามารถมีสามารถมาจากที่เราเป็นโรคอย่างอื่นแล้วลามมาเป็นโรคทางหูได้ กับหลีกเลี่ยงการแคะหู การเอาอะไรแหย่เข้าไปในหูเพราะจะทำให้หูสกปก หรืออักเสบหรือแก้วหูฉีกขาดได้ และควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่ก่อให้เกิดเสียงดังมากๆ 

ปัจจัยและสาเหตุที่ทำให้เกิดกรดไหลย้อน

กรดไหลย้อน ในทางการแพทย์ เรียกว่า Gastroesophageal Reflux Disease หรือ GERD จัดเป็นโรคทางเดินอาหารชนิดหนึ่ง สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยผู้สูงอายุ กรดไหลย้อน คือ ภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหารทำให้เกิดอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก เรอเปรี้ยวบ่อย ๆ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

สาเหตุของโรคกรดไหลย้อน
กรดไหลย้อน เกิดจากการมีพฤติกรรมการกินที่ไม่ถูกต้องและทำจนเป็นนิสัย ได้แก่
– การรับประทานอาหารเสร็จแล้วนอนทันที
– การทานอาหารมันๆ หรือการทานเยอะเกินไป จนส่งผลให้หูรูดส่วนปลายหลอดอาหารเกิดการผิดปกติขึ้น หรือส่งผลให้กระเพาะอาหารบีบตัว กรดจากกระเพาะอาหารจึงไหลย้อนขึ้นมาสู่หลอดอาหารได้มากขึ้นนั่นเอง

ปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงต่อโรคกรดไหลย้อน
เนื่องจากตามที่กล่าวมาข้างต้น กรดไหลย้อนจะเกิดจากการที่เรามีพฤติกรรมการกินที่ผิดปกติ ดังนั้น ปัจจัยหลักๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ก็คือ
– ภาวะน้ำหนักเกิน
– พฤติกรรมการรับประทานและนอนทันที
– การรับประทานผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว อย่างส้ม มะนาวบ่อยๆ
– การรับประทานช็อคโกแลต หรืออาหารที่มีส่วนผสมของมิ้นท์ อาหารเหล่านี้จะทำให้หลอดอาหารส่วนปลายคลายตัวบ่อยๆ นำไปสู่การเกิดกรดไหลย้อนได้
– การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆ ก็ถือว่าเป็นปัจจัยเสริมที่มีส่วนทำให้เกิดกรดไหลย้อนได้เช่นกัน

กระดูกสันหลังคด อันตรายถึงชีวิตหรือไม่?

กระดูกสันหลังคด
วัยรุ่นถึงแม้จะเป็นวัยที่แข็งแร็งมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว แต่จากการศึกษามักพบความผิดปกติของโรคเกี่ยวกับกระดูกและข้ออยู่บ่อย ๆ ได้แก่ กระดูกสันหลังคด และส่วนใหญ่แล้วจะพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ซึ่งชนิดที่พบมากที่สุดก็เป็นชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ ทั้งนี้ผู้ป่วยกระดูกสันหลังคดเมื่อมองไปถึงคนในครอบครัวจะพบว่ามีญาติพี่น้องเคยเป็นกระดูกสันหลังคด นอกจากนี้ยังมีอีกกรณีที่เด็กอาจเป็นมาตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งมีสาเหตุจากความผิดปกติของการเจริญเติบโตของกระดูกสันหลัง

การที่เราปล่อยให้กระดูกสันหลังของคดเป็นเวลานานโดยที่ไม่เข้ารักษา กระดูกสันหลังของเราจะยิ่งคดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะสวมใส่เสื้อมิดชิดก็สามารถที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน โดยเห็นจากด้านหลังว่ากระดูกสะบักสูงต่ำหรือใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ตัวเอียง เนื่องจากกระดูกสันหลังที่คดจะไปดันกระดูกซี่โครงให้บิดตัวผิดรูปไป กระดูกสะบักที่วางอยู่บนกระดูกซี่โครงเลยบิดหรือเอียงตามไปด้วย สำหรับผู้ที่เริ่มพบปัญหากระดูกสันหลังคดและยังมีอาการไม่มาก จะพบไม่พบปัญหาเกี่ยวกับการสังเกตเห็นได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงจะไม่มองเห็นจากภายนอก ยกเว้นถ้าโรงเรียนมีการตรวจสุขภาพนักเรียนแล้วตรวจดูเรื่องกระดูกสันหลังคดอยู่เสมอทุกๆ ปี ก็จะสามารถรู้ได้ และรักษาตั้งแต่ระยะแรกหรือเริ่มแรกที่เป็น ส่วนใหญ่จะพบในโรงเรียนต่างประเทศ

ในการรักษาผู้มีกระดูกสันหลังคด จะแบ่งเป็นมากและไม่มาก
กรณีผู้ที่พึ่งเป็นหรือเป็นไม่มาก แพทย์จะนัดมาพบเป็นระยะๆ เพื่อติดตามอาการการเอียงหรือการคดของกระดูกว่ามีมากขึ้นแค่ไหน และแพทย์จะแนะนำให้ทำการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อป้องกันไม่ให้คดมากขึ้น
กรณีคดมากขึ้น ในระยะแรก แพทย์อาจให้ใส่เสื้อหรือเครื่องช่วยในพยุงประคองกระดูกสันหลังไม่ให้คดมาก ขึ้น ถ้ากระดูกสันหลังคดอย่างรวดเร็ว หรือศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ที่ดูแล้ววัดมุมจากภาพถ่ายเอ๊กซเรย์กระดูก สันหลังว่าคดมาก แพทย์จะขอทำการผ่าตัดกระดูกสันหลังให้กลับมาตรงแล้วใช้โลหะดามไว้ก่อน เนื่องจากเป็นการป้องกันโรคแทรกซ้อนจากกระดูกสันหลังคดมาก ซึ่งกระดูกที่คดจะไปเบียดอวัยวะที่อยู่รอบข้าง เช่น ปอดจะถูกเบียด และส่งผลทำให้เรารู้สึกเหนื่อยง่าย กระดูกสันหลังคดมาก ทำให้เสียบุคลิกเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

อาหารเสริมบำรุงตับช่วยให้ตับแข็งแรงได้ดีขึ้นกว่าเดิม

 

ความเครียดส่งผลต่อตับ

 

ปัจจุบันความเครียดเป็นปัญหาที่ทุกคนจะต้องพบเจอ อาจจะเป็นเรื่องงาน ครอบครัว ความรัก หรือการเมือง อะไรก็ตามแต่ที่ทำให้คุณเองรู้สึกไม่สบายใจ ปัญหาเหล่านี้นอกจากจะส่งผลกระทบต่อจิตใจแล้วยังส่งผลไปถึงร่างกายของเราได้อีกด้วย

เมื่อเกิดความเครียดขึ้น ฮอร์โมนในกลุ่มความเครียดจะถูกหลั่งออกมา 1 ในนั้นคือ คอร์ติซอล ฮอร์โมนแห่งความเครียด ที่จะยับยั้งสารแห่งความสุขอย่างอดรีนาริน นั่นก็จะส่งผลให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ตับ ปกติจะมีหน้าที่มากมายและสร้างสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง หากเกิดภาวะความเครียด ตับก็อาจจะถูกยับยั้งการสร้างเซลล์หรือหลั่งสารได้ออกมาไม่ดีเท่าที่ควร และความเครียดที่ว่านี้อาจส่งผลให้เราประกอบกิจกรรมอื่นๆทีส่งผลอันตรายต่อตับเช่น

 

1.  เครียดกินเยอะ หากมีความเครียด เราจะหาอาหารประเภทไขมัน และของหวาน สารอาหารเหล่านี้อุดมไปด้วยไขมัน หากได้รับปริมาณมาเกินไป จะส่งผลให้ไขมันดังกล่าวไปพวกรวมอยู่ที่ตับ

 

2.  ภูมิคุ้มกันลดลง เมื่อคอร์ติซอลที่ถูกผลิตจากความเครียดได้ไปยับยั้งกลไกการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ก็จะทำให้ระบบป้องกันตัวเองถูกยับยั้งไปด้วย อย่างเช่นคนที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หากมีความเครียดหรือสุขภาพจิตไม่ดี ก็จะส่งผลต่อการทำงานภายในร่างกายให้ทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร กระตุ้นให้เกิดภาวะอื่นๆแทรกซ้อนได้

 

การออกกำลังกายเป็นอีกวิธีที่จะช่วยลดความเครียด เนื่องจากร่างกายของเราได้มีการขยับเคลื่อนไหว สมองสั่งการให้ไม่โฟกัสกับเรื่องความเครียด และเวลาที่เราออกกำลังกายนั้น ร่างกายจะผลิตสาร เบต้า เอนโดรฟิน เป็นอีกสารที่จะยับความเครียดได้ แต่ด้วยชีวิตที่เร่งรีบ หรือเงื่อนไขบางอย่าง อาจจะทำให้เราไม่สามารถออกกำลังกายได้ หรือมีข้ออ้างต่างๆทั้งเรื่องงาน อาจส่งผลไปสู่โรคตับแข็งและมะเร็งได้

 

ดังนั้นเราจึงควรป้องกันด้วยการไม่เครียด พยายามมองโลกในแง่ดี หรือหา อาหารเสริมบำรุงตับ มารับประทานเพื่อบำรุง หรือหาสิ่งใดมาทำเพื่อให้ลืมเรื่องที่เครียดและมองปัญหาให้มีทางแก้ไขได้อยู่เสมอ

อะโวคาโด้ ผลไม้ทานเล่น แต่ประโยชน์ไม่ใช่เล่นๆ

“อะโวคาโด” ถึงแม้จะดูจากชื่อแล้วไม่ใช่ผลไม้เมืองไทย และอาจพบว่ามีราคาสูงกว่าผลไม้ไทยทั่วไปเล็กน้อย แต่หากดูที่สรรพคุณแล้วจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าคุ้มค่าคุ้มราคาทุกบาททุกสตางค์จริงๆ Sanook! Health นำสารพัดประโยชน์ และทิปส์เล็กๆ น้อยๆ ในการทานอะโวคาโดจากรายการ Did You Know? มาฝากกันค่ะ

อะโวคาโด มีลักษณะอย่างไร?
อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีผิวที่มีลักษณะขรุขระ เปลือกหนา มีสีเขียวเข้ม เมื่อสุกจัดจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงหรือดำ เนื้ออะโวคาโดจะมีลักษณะเป็นครีม อ่อนนุ่ม มีรสชาติคล้ายเนย

 

สารอาหารของอะโวคาโด
อะโวคาโดมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ต่างๆ เช่น

– วิตามินอี บำรุงผิวพรรณ ลดไขมันอุดตันในเส้นเลือด

– สารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความชราภาพ ลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง

– โพแทสเซียม ลดความดันโลหิต

– โฟเลท ลดความดันโลหิต

– วิตามินเอ บำรุงสายตา

– วิตามินบี แก้อาการเหน็บชา

– วิตามินซี ป้องกันโรคหวัด บำรุงฟัน

– กรดไขมันดี ชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นชนิดเดียวกันกับน้ำมันมะกอก ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด และป้องกันโรคหัวใจได้

– สารแคโรทีนอยด์ต่างๆ ถึง 11 ชนิด โดยจะพบมากบริเวณเนื้อที่เป็นสีเขียวเข้มที่ติดกับใต้เปลือก

เป็นต้น

ปอกอะโวคาโดอย่างไร ให้ได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์มากที่สุด?
1. ผ่าครึ่ง โดยใช้มีดกดตามแนวยาว จนมีดติดเมล็ด แล้วดันมีดออกไปรอบๆ

2. ใช้มือบิดอะโวคาโดให้เนื้อหลุดออกจากกัน

3. ใช้มีดสับบนเมล็ดเบาๆ ให้มีดติดเมล็ด แล้วบิดมีดให้เมล็ดหลุดติดมีดออกมา

4. ผ่าครึ่งเนื้ออะโวคาโดอีกครั้ง

5. ใช้มือดึงเปลือกอะโวคาโดออกมา แทนการใช้ช้อนขูด

เก็บอะโวคาโดอย่างไร ไม่ให้ดำ?
อะโวคาโดก็เหมือนผลไม้หลายๆ ชนิด ที่ถึงแม้จะเก็บไว้ในตู้เย็น ก็อาจทำให้สีของเนื้อเปลี่ยนไปเป็นสีน้ำตาล เพราะเนื้อผลไม้จะเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ที่เกิดจากสารประกอบที่อยู่ในอะโวคาโดที่เรียกว่า ฟินอล เจอกับอากาศ กลายเป็นสารประกอบที่มีชื่อว่า ควิโนน เมื่อควิโนนจับตัวกันเป็นโพลีเมอร์ที่มีโมเลกุลใหญ่ขึ้น ก็จะเกิดเป็นเม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน นั่นเอง

วิธีเก็บอะโวคาโดไม่ให้เปลี่ยนเป็นสีคล้ำ ทำได้ดังนี้
1. บีบมะนาวลงไปเคลือบบนเนื้ออะโวคาโดให้ทั่ว

2. นำไปใส่กล่อง หรือถุงเก็บสุญญากาศ แล้วแช่ตู้เย็น

ข้อควรระวังในการทานอะโวคาโด
อย่าทานเกินวันละ 1 ลูก เพราะเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง

หลายคนเลือกทานอะโวคาโดในช่วงที่่ต้องการควบคุมน้ำหนัก จะลองทานดูบ้างก็ได้นะคะ แต่อย่าทานมากเกินไป เพราะนอกจากพลังงานสูงแล้ว ราคายังไม่เป็นมิตรมากเท่าไรนะ

เบาหวานกับต้อกระจกเกี่ยวข้องกันอย่างไร

เบาหวานกับต้อกระจก
โรคต้อกระจก ส่วนใหญ่พบในผู้สูงอายุ และเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของโรคเบาหวานแม้ว่าต้อกระจกไม่ใช่โรคทางพันธุกรรมโดยตรง แต่ปัจจุบันพบว่า มีปัจจัยทางพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่รู้จักกันดี เป็นเรื่องของยีนควบคุมการสร้างโปรตีน ส่วนประกอบของเลนส์ตา ซึ่งผู้ป่วยเบาหวานที่มีความผิดปกติของยีนดังกล่าว จะทำให้เลนส์ตาเริ่มขุ่นมัว และเกิดเป็นโรคต้อกระจกขึ้นในที่สุด

เลนส์ตาของมนุษย์ มีพัฒนาการมาจากการกลุ่มเซลล์อ่อนที่อยู่ชั้นนอก หรือที่เรียกว่า surface ectoderm กลุ่มเซลล์เหล่านั้น จะยื่นเว้าเข้าไปในบริเวณอวัยวะรับประสาทสัมผัสการมองเห็น ขณะที่อยู่ในครรภ์มารดา พบว่าส่วนของเลนส์ตาเริ่มเกิดขึ้นครั้งแรก เมื่อตัวอ่อนในครรภ์มีอายุได้ 6 สัปดาห์ เรียกว่า “เอ็มบริโอนิกนิวเคลียส” embryonic nucleus ต่อมารอบๆ เอ็มบริโอนิกนิวเคลียสจะเป็นส่วนที่เรียกว่า “ฟีทัลนิวเคลียส” fetal nucleus และในที่สุดเมื่อทารกแรกคลอด ทั้งสองส่วนจะรวมกันและกลายเป็นส่วนประกอบเกือบทั้งหมดของเลนส์ตาทารก ภายหลังคลอดแล้วถึงจะมีเนื้อเยื่ออีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นไฟเบอร์จับกันเป็นกลุ่มๆ เริ่มพัฒนาเปลี่ยนไปเป็นส่วนเปลือกนอกของเลนส์ตา

 

ความก้าวหน้าของวิทยาการสมัยใหม่ ที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งในปัจจุบัน คือ การที่แพทย์สามารถตรวจรหัสพันธุกรรม หรือยีนในผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งเป็นการตรวจวินิจฉัยระดับโมเลกุล ที่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานรายใดจะเป็นต้อกระจกหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้เราไม่สามารถทราบได้เลย จนกว่าผู้ป่วยจะมีอาการปรากฎอย่างเด่นชัด

 

เป็นที่ทราบกันดีว่า ต้อกระจก จัดเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเบาหวานตาบอดมากที่สุด จากการศึกษากลไกการเกิดโรค พบว่าการที่ผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทำให้น้ำตาลกลูโคสเปลี่ยนไปเป็นสารซอร์บิตอล (sorbitol) การเปลี่ยนกลูโคสเป็นซอร์บิตอลผ่านทางปฎิกิริยาเคมีที่ใช้เอ็นซัยม์ ชื่อ อัลโดสรีดักเตส (aldose reductase) ปริมาณของสารซอร์บิตอลที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดต้อกระจก

เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีคณะวิจัยศึกษาความสัมพันธ์ ระหว่างยีนของเอ็นซัยม์อัลโดสรีดักเทส กับการเกิดต้อกระจกในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน หรือที่เรียกว่า type 2 diabetes เทคนิกการตรวจหาไมโครเซทแทลไลท์อัลลีล โดยใช้วิธีโพลีเมอเรสเชนรีแอกชัน ตามด้วยโพลีอะคริลลาไมด์เจลอิเลคโทรโฟริซิส จากการศึกษาครั้งนี้ได้ข้อมูลที่สำคัญ และจะเป็นประโยชน์อย่างมากในอนาคตอันใกล้ ข้อสรุปที่สำคัญ คือ การค้นพบว่า ยีน allele Z เกี่ยวข้องกับการเกิดต้อกระจก และ allele Z-4 ลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคตาในผู้ป่วยเบาหวาน

การตรวจ allele Z และ allele Z-4 จึงเริ่มถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ถือเป็นการตรวจทางพันธุกรรม ที่ช่วยทำนายโอกาสที่จะเกิดเป็นต้อกระจก ในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนเอเชีย และคาดว่าจะมีประโยชน์อีกประการหนึ่ง คือ สามารถนำยากลุ่มออกฤทธิ์ต้านเอ็นซัยม์อัลโดสรีดักเตส มาใช้เพื่อเป็นการรักษาผู้ป่วยกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง และเป็นการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ที่เชื่อว่าจะมีประสิทธิภาพมากอย่างหนึ่ง

คราบหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ

การตรวจคราบหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ (Coronary artery calcium scoring) คือการใช้เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) ตรวจหาหินปูน (calcified plaque) ที่บริเวณหลอดเลือดแดงโคโรนารี ซึ่งเป็นหลอดเลือดแดงหลักที่ส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ โดยหินปูนที่ตรวจจะบ่งชี้ถึงความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (Coronary artery disease) ยิ่งพบมากยิ่งบ่งบอกถึงความเสี่ยงที่สูงมากขึ้นตามด้วย โดยภาพหินปูนที่หลอดเลือดแดงโคโรนารี จะแปลผลเป็นตัวเลข หรือเรียกว่า Coronary calcium score หากตรวจไม่พบหินปูนที่หลอดเลือดแดงโคโรนารี่ หรือ Coronary calcium score เป็น 0 จะบ่งชี้ว่า ความเสี่ยงที่จะมีหลอดเลือดหัวใจตีบหรือโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันต่ำมาก ในทางตรงกันข้ามหากค่า Coronary calcium score สูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าที่มากกว่า 400 จะบ่งชี้ว่าความเสี่ยงที่จะมีโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ภายในระยะเวลา 2-5 ปีสูงมาก แม้ว่าจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม

การตรวจคราบหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ

ประโยชน์ของการตรวจหินปูนที่เกาะหลอดเลือดหัวใจ คืออะไร?

การตรวจพบหินปูนที่หลอดเลือดแดงโคโรนารี่ จะทำให้เราทราบถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบในอนาคตว่ามีมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะเมื่อนำมาพิจารณาร่วมกับความเสี่ยงพื้นฐานของแต่ละคน เช่น อายุ โรคร่วมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เช่น ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง หรือประวัติสูบบุหรี่ ซึ่งจะนำพาไปสู่การควบคุมและรักษาโรคที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดโอการเกิดโรคหัวใจตีบหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในอนาคตได้

กระบวนการตรวจมีความยุ่งยากหรือเจ็บตัวหรือไม่

  • ข้อดีของตรวจหาหินปูนที่หลอดเลือดแดงโคโรนารี่
  1. เป็นการตรวจที่ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล
  2. ไม่ต้องฉีดยาหรือสารทึบรังสี
  3. ไม่ต้องมีการเตรียมตัวเป็นพิเศษ
  4. เป็นการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ซึ่งผู้ตรวจได้รับรังสีในปริมาณน้อยมาก

ใครที่ควรเข้ารับการตรวจหินปูนที่หลอดเลือดแดงโคโรนารี่บ้าง

  • ผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ได้แก่ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน คอเลสเตอรอลสูง สูบบุหรี่ อ้วน หรือมีประวัติคนในครอบครัวเจ็บป่วยด้วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

แค่นอนให้พอ ก็ช่วยลดน้ำหนักได้

ถ้าคุณกำลังลดน้ำหนัก นอกจากการกินอาหารและการออกกำลังกายแล้ว การ นอน ก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน แต่หลายคนกลับนอนหลับไม่เพียงพอ เนื่องจากงานวิจัยจากประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า วัยผู้ใหญ่ประมาณ 30% นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่ชี้ว่า สาเหตุที่ทำให้ลดความอ้วนไม่สำเร็จ อาจเป็นเพราะละเลยเรื่องการนอน บทความนี้จึงมีข้อมูลเรื่องประโยชน์ของการนอน ที่มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักมาฝากค่ะ

การนอน มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักอย่างไรบ้าง
นอนไม่พอ อาจทำให้น้ำหนักขึ้น
งานวิจัยที่เผยแพร่ในวารสารวิชาการ American Journal of Clinical Nutrition ให้ข้อมูลว่า การอดนอน อาจส่งผลให้ความอยากกินขนมในตอนกลางคืนเพิ่มขึ้น และยังมีแนวโน้มว่าผู้ที่อดนอน จะเลือกกินขนมที่มีคาร์โบไฮเดรตสูงมากกว่าอาหารประเภทอื่น นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยชิคาโก ที่พบว่า กลุ่มตัวอย่างที่นอนไม่พอ เลือกกินขนมขบเคี้ยวที่มีไขมันมากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่นอนหลับ 8 ชั่วโมง มากไปกว่านั้น ยังมีงานวิจัยที่ให้ข้อมูลว่า การนอนน้อยส่งผลให้คนกินอาหารในสัดส่วนที่มากกว่าเดิม ซึ่งทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ จากการทบทวนงานวิจัยกว่า 18 งานวิจัยพบว่า การนอนหลับไม่เพียงพอ เพิ่มความอยากกินอาหารที่มีพลังงานสูง และคาร์โบไฮเดรตสูง กล่าวคือการนอนน้อย อดนอน หรือนอนหลับไม่เพียงพอ อาจทำให้คุณอยากกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากขึ้น จนส่งผลให้น้ำหนักขึ้น และอ้วนในที่สุด

การนอนหลับส่งผลต่อการออกกำลังกาย
นอนไม่พออาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย และเหนื่อยล้าระหว่างวัน จนส่งผลต่อการออกกำลังกายได้ เนื่องจากมีงานวิจัยที่ศึกษากลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ชาย จำนวน 15 คน โดยกลุ่มตัวอย่างนอนหลับไม่เพียงพอ ผลการวิจัยพบว่าปริมาณ และความเข้มข้นของการออกกำลังกายลดลง แต่ในทางกลับกัน การนอนหลับอย่างเพียงพอก็ช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการออกกำลังกายดีขึ้น เนื่องจากมีงานวิจัยที่ได้ให้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักกีฬาบาสเกตบอล นอนหลับเป็นเวลา 10 ชั่วโมงต่อคืน เป็นเวลา 5-7 สัปดาห์ ผลการวิจัยพบว่าพวกเขาเคลื่อนที่ไวขึ้น ทำเวลาได้ดีขึ้น ความแม่นยำเพิ่มขึ้น และระดับความเหนื่อยล้าลดลง ดังนั้นถ้าคุณกำลังลดความอ้วน และออกกำลังกายทุกวัน จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ควรนอนหลับอย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย

เทคนิคที่ช่วยให้นอนหลับอย่างมีคุณภาพมากขึ้น
ในปัจจุบันการนอนหลับสนิทเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากขึ้น เนื่องจากหลายคนอยู่หน้าจอก่อนเข้านอน เช่น หน้าจอคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บแลต ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้คุณเพลินเพลินจนลืมเวลานอน ดังนั้นคุณอาจใช้เทคนิคเหล่านี้เพื่อให้นอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ และโทรทัศน์ อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอน
  • ให้ห้องนอนเป็นสถานที่เพื่อนอนหลับ และเพื่อการมีเพศสัมพันธ์เท่านั้น โดยควรรู้สึกผ่อนคลายเมื่อเข้ามาในห้องนอน แทนการใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงาน
  • สร้างกิจวัตรก่อนนอน เช่น อ่านหนังสือ นั่งสมาธิ หรืออาบน้ำอุ่นก่อนนอน
  • เข้านอนและตื่นนอนเวลาเดียวกันทุกวัน ควรเข้านอนและตื่นนอน เวลาเดียวกันทุกวัน รวมถึงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ด้วย
  • อาหารที่กินและเวลากินก็สำคัญ ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารมื้อหนัก และแอลกอฮอล์ในช่วงเวลาก่อนเข้านอน เนื่องจากอาจทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน และทำให้นอนหลับยาก
  • หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มคาเฟอีน หลังบ่าย 2 เครื่องดื่มคาเฟอีน เช่น น้ำอัดลม ชา และกาแฟ ไม่ควรดื่มหลังบ่าย 2 เนื่องจากคาเฟอีนจะอยู่ในร่างกายประมาณ 5-6 ชั่วโมง จึงอาจส่งผลต่อการนอนหลับได้
  • ปิดไฟ ความมืดจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนแห่งการนอนหลับ การปิดไฟนอนจึงช่วยทำให้นอนหลับได้ดีกว่าการเปิดไฟ

เนื้องอกมดลูก โรคร้ายที่ผู้หญิงต้องระวัง

ขึ้นชื่อว่าเนื้องอก ไม่ว่าจะเป็นที่ส่วนใดของร่างกาย ก็จะต้องสร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่มีเจ้าเนื้องอกนี้มาอยู่ในร่างกายทั้งนั้น โดยเฉพาะกับคุณสาว ๆ

เนื้องอกมดลูกเป็นเช่นไร
  • เนื้องอกมดลูกเป็นเนื้องอกที่พบได้บ่อยในผู้หญิงพบได้ประมาณ25 % ของผู้หญิงโดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์ที่มีอายุตั้งแต่อายุ 25 ปีขึ้นไปจนถึง 40 ปีซึ่งความน่ากลัวของมันก็คือ 50 % ของสาว ๆ ที่เป็นโรคนี้ไม่แสดงอาการสำหรับสาเหตุของการเกิดนั้นอาจจะเกิดจากกรรมพันธุ์รวมถึงฮอร์โมนพศหญิง หรือฮอร์โมนเอสโตรเจน(Estrogen) เป็นตัวกระตุ้นให้เซลล์ของกล้ามเนื้อมดลูกกลายเป็นก้อนเมื่อฮอร์โมนมีระดับที่เพิ่มสูงขึ้นก้อนก็จะโตตามไปด้วย เมื่อก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้นก็จะไปกดเบียดอวัยวะรอบข้างทำให้เกิดอาการ เช่นทำให้เกิดอาการท้องอืดปัสสาวะบ่อย ปวดท่อไตทำให้ปวดหลังปวดเอว รวมทั้งอาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก รวมไปถึงภาวะที่เสี่ยงต่อการแท้งบุตรได้อีกด้วย
รู้ได้เร็ว รับมือได้ไว ด้วยการตรวจคัดกรอง
  • อย่างที่หมอบอกคือ 50 % ของผู้หญิงไม่ทราบว่าตนเองมีปัญหาเนื้องอกมดลูกเพราะไม่แสดงอาการผิดปกติออกมาจนกว่าจะมีภาวะแทรกซ้อน หรือตรวจพบจากการตรวจสุขภาพประจำปี แต่ขณะเดียวกันอีก 50 % ที่เหลือจะมีอาการผิดปกติเช่น มีบุตรยาก ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมามากผิดปกติ ปัสสาวะบ่อยแต่ก็ยังไม่ทราบว่าตนเองเป็นเนื้องอกมดลูก ซึ่งเมื่อคนกลุ่มเหล่านี้มาหาหมอ หมอต้องอาศัยการซักประวัติอย่างละเอียดพร้อมกับตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ ซึ่งได้แก่ การตรวจภายในและการคลำหาก้อนซึ่งหากก้อนมีขนาดใหญ่มากแพทย์ก็จะคลำพบได้ง่าย วิธีต่อมาคือการตรวจอัลตร้าซาวด์ที่หน้าท้องและช่องคลอด ซึ่งวิธีนี้หากมีก้อนจะช่วยให้เห็นได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ในบางรายหมอก็จะเลือกใช้การฉีดน้ำเกลือเข้าไปในโพรงมดลูกร่วมกับการทำอัลตร้าซาวด์ ซึ่งจะช่วยทำให้ก้อนขยายตัวและสามารถเห็นก้อนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งการตรวจคัดกรองด้วยวิธีต่าง ๆ นั้นผู้หญิงควรจะทำเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ทราบถึงความเสี่ยงและรับมือป้องกันได้อย่างทันท่วงทีโดยเฉพาะในกลุ่มที่ไม่มีอาการและไม่เคยเข้ารับการตรวจเลย
ผ่าตัดผ่านกล้องอีกขั้นของวิทยาการการรักษา
  • วิธีรักษาเนื้องอกมดลูกจะแบ่งเป็นการให้ฮอร์โมนและการผ่าตัด โดยให้ฮอร์โมนชนิดฉีดเพื่อให้ก้อนเล็กลงสำหรับกรณีที่ก้อนมีขนาดใหญ่มากและต้องการผ่าตัด ทั้งนี้ก็เพื่อให้ก้อนมีขนาดเล็กลงจะได้ผ่าตัดได้ง่ายขึ้น ขณะที่บางครั้งก็จะให้ฮอร์โมนเพื่อลดปริมาณประจำเดือน ลดอาการปวดและอาการผิดปกติของประจำเดือน เพื่อที่คนไข้จะได้ไม่ต้องเผชิญกับการปวดท้องและอาการไม่สบายตัวต่าง ๆ ระหว่างมีประจำเดือน
  • การผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหาเนื้องอกมดลูกแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาว่าแต่ละคนเหมาะกับการรักษาแบบใด เนื่องจากมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ทั้งการรักษาด้วยการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง การผ่าตัดผ่านกล้อง ซึ่งหากคนไข้มีเนื้องอกในปริมาณมาก หรือก้อนมีขนาดใหญ่ และคนไข้มีบุตรที่เพียงพอแล้วหมอจะแนะนำให้ผ่าตัดมดลูกออกไปพร้อมกับก้อนเลย แต่หากก้อนมีขนาดเล็กและมีอายุไม่เกิน 18 สัปดาห์ หมอก็จะแนะนำให้ใช้วิธีการผ่าตัดผ่านกล้องซึ่งจะช่วยทำให้คนไข้ไม่ต้องเจอกับแผลผ่าตัดขนาดใหญ่อีก ทั้งยังช่วยลดระยะเวลาในการพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ทำให้คนไข้ไม่ต้องลางานเป็นเวลานานเหมือนการผ่าตัดเปิดหน้าท้องอีกด้วย
เนื้องอกมดลูกน่ากลัวเพียงใดหากไม่รักษา
  • แม้ว่าเนื้องอกมดลูกนั้นจะมีโอกาสพัฒนาไปเป็นมะเร็งเพียง 0.5 % – 1 % หรือจัดเป็น 1 ใน 1,000 ซึ่งเรียกว่าโอกาสต่ำมากที่จะพัฒนากลายเป็นมะเร็ง แต่ก็อยากกระตุ้นเตือนให้คุณผู้หญิงเห็นความสำคัญของการตรวจสุขภาพเพื่อป้องกันโรคนี้ เพราะนอกจากจะสร้างความเจ็บป่วย สร้างความรำคาญในชีวิตประจำวันแล้ว มันยังอาจจะทำให้คุณต้องกลายเป็นผู้หญิงที่เข้าข่ายภาวะมีบุตรยากอีกด้วย และถ้าคุณตรวจว่าเจอเนื้องอกชนิดนี้และวางแผนจะมีบุตร คุณจะต้องรักษาเนื้องอกนี้ให้หายดีก่อน เพราะว่าหากมีก้อนเนื้องอกอยู่ในโพรงมดลูกก็จะขวางกั้นตัวอ่อน จนอาจจะทำให้เสี่ยงต่อการแท้งและเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนดได้อีกด้วย